ต้นไม้ประจำจังหวัดภูเก็ต
พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดภูเก็ต
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pterocarpus indicus Willd.วงศ์ LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE
ชื่ออื่น ประดู่กิ่งอ่อน สะโน อังสนา
ไม้ต้น ขนาดกลางผลัดใบ สูง 10 - 20 เมตร ลำต้นเปลาตรง
เปลือก สีน้ำตาลดำ แตกตามยาว เปลือกในมีน้ำเลี้ยง สีแดง เรือนยอดทรงกลมหรือทรงเจดีย์ เตี้ยแผ่กว้าง หนาทึบ กิ่ง ก้าน ทอดต่ำย้อยลงต่ำ
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ มีใบย่อย 7 - 13 ใบ ปลายสุดของช่อเป็นใบเดี่ยว ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายมน หรือแหลมเป็น ติ่ง ทู่ โคนใบมนกว้าง
ดอก สีเหลือง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกรวมกันเป็นช่อตามง่ามใบ หรือปลายกิ่ง ช่อยาว 20 - 30 เซนติเมตร
ผล เป็นฝักแบนกลมคล้ายจานบิน ตรงกลางนูน ขนาด 3.5 - 5 เซนติเมตร มีปีกรอบ ๆ มีเมล็ด 1 เมล็ด อยู่ตรงกลาง เมื่อแก่จะแห้ง
นิเวศวิทยา พบตามป่าเบญจพรรณทางภาคใต้ สามารถปลูกได้ทั่วไป
ออกดอก เมษายน - สิงหาคม ดอกจะบานและโรยพร้อม ๆ กัน
ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด ปักชำกิ่ง
วิธีปฏิบัติต่อเมล็ดและการเพาะเมล็ด เด็ดปีก แล้วแช่น้ำไว้ 1 คืน ก่อนนำไปเพาะ
ข้อสังเกตและผลการทดลอง
ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ทำสิ่งก่อสร้าง เปลือกให้น้ำฝาดสำหรับฟอกหนัง และให้สีน้ำตาลสำหรับย้อมผ้า แก่นให้สี ีแดงคล้ำ
ดอกไม้ประจำจังหวัดภูเก็ต
ชื่อสามัญ : ดอกเฟื่องฟ้า (Bougainvillea, Paper flower, Kertas)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bougainvillea hybrid, Bougainvillea spp.
วงศ์ : Nyctaginaceae
ชื่ออื่น : Peper Flower, Kertas, ตรุษจีน , ดอกต่างใบ, ดอกกระดาษ
ลักษณะทั่วไป : เป็นพรรณไม้ยืนต้นประเภทพุ่มกึ่งเลื้อย อายุยืนหลายสิบปี ขนาดตั้งแต่พุ่มเล็กถึงพุ่มใหญ่ มีหนามขึ้นตามลำต้นอยู่ ลำต้นมีความยาวประมาณ 1 – 10 เมตร มีลำเถาแข็งแรงเลื้อยไปได้ไกล ลำต้นมีหนามติดอยู่เป็นระยะๆ อยู่เหนือใบ ลักษณะทรงพุ่มตัดแต่งได้ บังคับทิศทางการเจริญเติบโตได้ ใบเดี่ยว แตกออก สลับกับกิ่ง หรือเยื้องกัน มีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย มีสีเขียวหรือใบด่าง รูปร่างรีแหลมยาว 3-6 ซม. กว้าง 2-3 ซม. ใบประดับลักษณ ะคล้ายรูปหัวใจหรือรูปไข่มี 3-5 ใบ มีหลายสี เช่น ม่วง แดง ชมพู ส้ม ฟ้า เหลืองและอื่นๆ ผู้พบเห็นทั่วไปมักเข้าใจว่าใบประดับคือดอก ส่วนดอก มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและไม่สมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อ ตามซอก ใบหรือปลายกิ่งแต่ละช่อมี 3 ดอก เป็นหลอดยาว 1-2 ซม. ติดอยู่ที่เส้นกลางใบของใบประดับ ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าดอกคือเกสรดอก ดอกเป็นชนิดไม่มีกลีบดอก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 5-10 อัน การปลูกเลี้ยงในประเทศไทยมักจะเกิดการกลายพันธุ์ โดยเนื้อเยื่อบริเวณตามีการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลทำให้ส่วนต่างๆ เปลี่ยนไป เช่น สีของใบประดับเปลี่ยนไป กลายพันธุ์เป็นใบประดับซ้อน กลายพันธุ์เป็นใบด่าง กลายพันธุ์เป็นดอกกระจุก เป็นต้น ต้องการแสงแดดจัดในสภาพกลางแจ้ง ได้รับแสงแดดตลอดวัน ถ้าได้รับแสงแดดไม่เพียงพอจะทำ ให้สีของใบไม่เข้มออกดอกน้อย ต้องการอุณหภูมิ ปานกลางหรือร้อนชื้น เมื่อโตขึ้น ต้องการน้ำปานกลาง ถึงค่อนข้างต่ำ ถ้ารดน้ำมากเกินไปจะไม่ออกดอก
ขยายพันธุ์ : การขยายพันธุ์เฟื่องฟ้า นิยมทำกันอยู่ 2 ลักษณะ คือ การปักชำกิ่งและการเสียบยอด
สภาพที่เหมาะสม : ดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย แสงแดดจัด ทนแล้งได้ดี
ถิ่นกำเนิด : ถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศบราซิลโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสราว ค.ศ. 1766-1769 และได้ถูกนำไปปลูกยังส่วนต่าง ๆ ของโลก เริ่มจากยุโรป อเมริกาเหนือ และ เอเชีย สำหรับในประเทศไทย มีการนำพันธุ์เฟื่องฟ้าเข้ามาจากสิงคโปร์ครั้งแรกราว พศ. 2423 ใน สมัยรัชกาลที่ 5 พันธุ์เฟื่องฟ้าในประเทศไทยมีไม่น้อยกว่าต่างประเทศ เนื่องจากเฟื่องฟ้าเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย และกลายพันธุ์เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ขึ้นมากมาย
การเป็นมงคล :คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ประจำบ้าน สามารถสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น เพราะเฟื่องฟ้าเป็นพรรณไม้ ที่ได้รับสมญาว่าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับเนื่องจากสามารถนำเฟื่องฟ้าไปใช้ประโยชน์ในด้านสุนทรียภาพเพื่อประดับสวนอาคาร บ้านเรือน และสถานที่สำคัญต่างๆ นอกจากนี้คนไทยโบราณยังมีความเชื่ออีกว่าเฟื่องฟ้าเป็นไม้มงคล และมีความสำคัญของเทศกาลตรุษจีน เพราะต้นเฟื่องฟ้าสามารถออกดอกสะพรั่งในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงทำให้บางคนเรียกต้นเฟื่องว่าว่าต้นตรุษจีนดังนั้นบางคนเชื่อว่า เมื่อช่วงดอกเฟื่องฟ้าบานแสดงถึง ความเบิกบาน สว่างไสว ความรุ่งเรือง ที่ก้าวไกลแห่งชีวิต
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก : เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเฟื่องฟ้า ไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางด้านเป็นสิริมงคล ให้ปลูกในวันพุธ และถ้าจะให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นสตรีเพราะเฟื่องฟ้าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับ ดังนั้นชื่อจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับสุภาพสตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น